วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระบบการสอน

ระบบการสอน

ความหมายของระบบ
ระบบ (System)หมายถึง การรวมกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ หรือกระบวนการต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ หากสิ่งใดหรือกระบวนการใดมีการเปลี่ยนแปลง จะกระทบกระเทือนสิ่งอื่น ๆ หรือกระบวนการอื่น ๆ ไปด้วยสรุป ได้ว่า ระบบจะต้องมี1. องค์ประกอบ 2. องค์ประกอบจะต้องมีความสัมพันธ์กัน 3. ระบบต้องมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ
องค์ประกอบของระบบและวิธีระบบ
ระบบโดยทั่วไป จะมีองค์ประกอบดังนี้
2.2.1 สิ่งนำเข้า (Input) ได้แก่ การกำหนดปัญหา จุดมุ่งหมายทรัพยากรที่ใช้
2.2.2 กระบวนการ (Process) ได้แก่การลงมือแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูล การนำวัตถุดิบมาใช้ มาจัดกระทำอย่างเหมาะสมเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
2.2.3 ผลผลิต (Output) คือผลที่ได้จากการแก้ปัญหาหรือสรุปการวิเคราะห์เพื่อประเมินต่อไป
2.2.4 ผลย้อนกลับ (Feedback) คือการตรวจสอบผลผลิตเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพต่อไปซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กันในการกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานและการแก้ปัญหาเพื่อทำให้ผลที่ได้มีประสิทธิภาพการดำเนินงานลักษณะนี้เรียกว่า วิธีระบบ (System Approach)

ทฤษฎีพหุปัญญา



ทฤษฎีพหุปัญญา
Theory of Multiple Intelligences





นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น



เด็กที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์ อาจจะมีความสามารถในการใช้ภาษาดี
เด็กที่ไม่เก่งทั้งคณิตศาสตร์ และภาษา อาจเป็นเลิศทางศิลปะ
เด็กที่ไอคิวปกติ อาจเป็นอัจฉริยะทางกีฬา
เด็กที่ไอคิวต่ำกว่าปกติ อาจเป็นอัจฉริยะทางดนตรี
เด็กที่ไอคิวสูง ก็อาจไม่มีเรื่องใดโดดเด่นเลย
เด็กที่ไม่เก่งทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา ดนตรี กีฬา และศิลปะ
ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีเพื่อนฝูงมากมาย ได้เช่นกัน




การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาด หรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ถ้าเรานำระดับสติปัญญาหรือไอคิว ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาเป็นมาตรวัด ก็อาจได้ผลเพียงเสี้ยวเดียว เพราะว่าวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบในปัจจุบันไม่สามารถวัดได้ครอบคลุมถึง เช่น เรื่องของความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา และความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้หนึ่งที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ ทฤษฎีพหุปัญญา ” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป
ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ ได้เสนอว่าปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากขึ้น จึงสรุปได้ว่า พหุปัญญา ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ ในปัจจุบันมีปัญญาอยู่อย่างน้อย 8 ด้าน ดังนี้
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
คือ ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตามที่ต้องการ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความ หรือนักการเมือง

2. ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)
คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร

3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)
คือ ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น จะมีทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์
สายวิทย์ ก็มักเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์ ก็มักเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ เช่น จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขียนการ์ตูน นักปั้น นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เป็นต้น

4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence)
คือ ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักบัลเล่ย์ หรือนักแสดงกายกรรม

5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจำ และการแต่งเพลง สามารถจดจำจังหวะ ทำนอง และโครงสร้างทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง
6. ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง สามารถจูงใจผู้อื่นได้ดี เป็นปัญญาด้านที่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ให้คำปรึกษา นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง หรือนักธุรกิจ

7. ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเองตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือความสามารถในเรื่องใด
มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตนของตนเองอย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมีความสุข สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย

8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence)
คือ ความสามารถในการรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจำแนก แยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือนักสำรวจธรรมชาติ
ทฤษฎีนี้ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นความสำคัญใน 3 เรื่องหลัก ดังนี้
1. แต่ละคน ควรได้รับการส่งเสริมให้ใช้ปัญญาด้านที่ถนัด เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้
2. ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้สอดรับกับปัญญาที่มีอยู่หลายด้าน
3. ในการประเมินการเรียนรู้ ควรวัดจากเครื่องมือที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถครอบคลุมปัญญาในแต่ละด้าน
ทฤษฎีพหุปัญญา ของการ์ดเนอร์ ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งมีหลายด้าน หลายมุม แต่ละด้านก็มีความอิสระในการพัฒนาตัวของมันเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มีการบูรณาการเข้าด้วยกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษย์แต่ละคน
คนหนึ่งอาจเก่งเพียงด้านเดียว หรือเก่งหลายด้าน หรืออาจไม่เก่งเลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว
นับเป็นทฤษฎีที่ช่วยจุดประกายความหวัง เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ


เอกสารอ้างอิง
ทักษิณ ชินวัตร, จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ และพรพิไล เลิศวิชา. เด็กไทยใครว่าโง่ เปลี่ยนการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ทันโลก. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด ( มหาชน ), 2548.
อารี สัณหฉวี และอุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์. 15 สิงหาคม 2548. พหุปัญญา (Online). Available URL: http://www.thaigifted.org
Armstrong T. 1994. Multiple intelligence (Online). Available URL: http://www.thomasarmstrong.com/multiple_intelligences.htm
Gardner H. 2005, August 15. Intelligence in seven steps . (Online). Available URL: http://www.newhorizons.org/future/Creating_the_Future/crfut_gardner.html
Multiple intelligences (Online). Available URL: http://www.newhorizons.org/strategies/mi/front_mi.htm
Multiple intelligences (H. Gardner) (Online). Available URL: http://tip.psychology.org/gardner.html

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เป็นคำถามจิตวิทยา...แม่นดีลองทำกันดูนะ

และแล้วก็มาถึงเดือนแห่งความรักอีกที เรามาลองตอบคำถามต่อไปนี้ดู ลองทายกันเล่นๆนะคะ
อย่าแอบดูเฉลยก่อนล่ะ ได้ผลยังไง เม้นบอกกันบ้างนะคะ
เป็นคำถามจิตวิทยา...แม่นดีลองทำกันดูนะ
1. คุณกำลังเดินไปตามทางเดิน แล้วเห็นอะไรอยู่รอบตัว
ก. ป่าทึบ มองขึ้นข้างบนแทบไม่เห็นท้องฟ้า
ข. ทุ่งข้าวโพดเหลืองอร่ามตัดกับสีขอบฟ้า
ค. เนินเขาสีเขียว เห็นภูเขาอยู่ลืบๆ
เฉลยคำถามที่ 1 ทัศนคติของคุณเกี่ยวกับตัวเอง
ก. คนอื่นมองว่าคุณเป็นคนที่น่าสนใจเพราะคุณปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อนๆรักคุณเพราะคุณเป็นนักฟังที่ดี
ข. เป็นคนฉลาด ซื่อสัตย์และน่ารักเป็นมิตรกับทุกคนและไม่ค่อยมีเรื่องกับใครแถมยังเป็นตัวแทนของความร่าเริง สนุกสนาน ใครๆจึงมักจะเข้ามาพูดคุยด้วย
ค. เป็นคนติดดิน และผู้คนเขาก็รักคุณเพราะนิสัยเป็นคนตรงๆ นี่แหละคุณคือนักไกล่เกลี่ยปัญหาเพราะคุณจะรับฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าใครถูกใครผิด

2. คุณเห็นอะไรตกอยู่ข้างๆ เท้า
ก. กระจก
ข. แหวน
ค. ขวด
เฉลยคำถามที่ 2 ลักษณะของคู่รักที่คุณมองหา
ก. แฟนคุณต้องเป็นคนที่จะร่วมชีวิตกันในอนาคต แต่คุณควรเปิดใจให้กว้างเพราะเขา/เธอที่สมบูรณ์ตามแบบของคุณ อาจไม่ค่อยมีเสน่ห์มากนัก
ข.คุณป็นคนโรแมนติกยามรักก็จะทุ่มเทเพื่อถนอมรักไว้ให้ดีที่สุดเพราะคุณเชื่อว่ารักแท้จะคงอยู่ตลอดกาลและคุณก็อยากให้แฟนห่วงใยดูแลคุณเสมอ
ค. คุณชอบคนที่กล้าแสดงความเก่ง ทะเยอทะยาน และ จริงจัง ฉะนั้นพวกหล่อ/สวยอย่างเดียวน่ะไม่ผ่าน
3. เก็บมันขึ้นมาไหม
ก. เก็บ
ข. ไม่เก็บ
เฉลยคำถามที่ 3 ความพร้อมที่จะผูกมัดกับใครซักคน
ก. ถ้าใช่ก็ได้เลย
ข. ดูใจกันไปเรื่อยดีกว่า
4. เดินต่อไปเจอแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ว่าคือ…
ก. ทะเลสาบใส
ข. น้ำตก
ค. ลำธาร
เฉลยคำถามที่ 4 รักคุณซึมลึกขนาดไหน
ก. คุณจริงจังกับความสัมพันธ์เอามากๆ ถ้าพบคนที่ใช่คุณก็จะรักเขา/เธอคนั้นสุดหัวใจ
ข. เพศตรงข้ามคิดว่าคุณเซ็กซี่มากเพราะคุณหว่านเสน่ห์เก่งชาย/หญิงหลายขโยงจึงพากัน หลงใหลคุณ
ค. ทักษะการจีบของคุณเป็นเลิศ คุณจึงเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า

5. กุญแจที่จมอยู่ในน้ำซึ่งคุณกำลังจะเก็บขึ้นมานั้นมีลักษณะอย่างไร
ก. กุญแจบ้าน
ข. กุญแจโบราณ
ค. กุญแจล็อคเกอร์เล็กๆ
เฉลยคำถามที่ 5 ความสำคัญของการศึกษา
ก. การศึกษาสำคัญน้อยกว่าโลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้าลึกๆแล้วคุณอาจจะอยากเริ่มทำงานและออกมาอยู่เอง
ข. การศึกษาสำคัญที่สุดคุณอยากเรียนหนักๆจะได้ซึมซับความรู้ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ค. คุณอาจจะไม่ชอบเรียน แต่มีความคิดดีๆมากมายคุณเชื่อสัญชาตญาณและสมองของตัวเองฉะนั้นคุณอาจลงเอยด้วย อาชีพที่ไม่เหมือนใคร
6. ต่อมาเจอะบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบไหน
ก. แมนชั่นหรูแบบละแวกฮอลลีวู้ด
ข. กระท่อมพร้อมสนามหญ้า
ค. ปราสาทสวยโทรมๆ
เฉลยคำถามที่ 6 งานเหมาะๆ
ก. คุณมีเป้าหมายเยอะและพยายามทำทุกอย่างสุดๆงานที่ชอบจึงต้องเป็นงานที่ได้แสดงพลังคุณปรารถนาความสำเร็จอย่างที่สุด
ข. คุณยึดหลักความเป็นจริงในการเลือกอาชีพและมุ่งมั่นจะเติบโตในสายงานที่คุณเลือก
ค. อาชีพที่คุณฝันไว้เป็นไปได้ยากในชีวิตจริงน่าจะมองๆหาอะไรใกล้ตัวทำไปก่อนดีกว่าไม่งั้นอาจเศร้า
7. แล้วทำยังไงต่อ
ก. มองเข้าไปทางหน้าต่าง
ข. เข้าไปสำรวจ
ค. ไม่สน… แล้วเดินต่อไป
เฉลยคำถามที่ 7 ความสำเร็จมีความหมายแค่ไหน
ก. คุณกลัวล้มเหลวเลยไม่กล้าเริ่มต้นจงอย่าเพิ่งยอมแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ
ข. คุณมั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ เพราะจะไม่มีสิ่งไหนมากั้นขวางคุณได้
ค. ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องใหญ่คุณพอใจในสิ่งที่มีอยู่และชอบที่จะอยู่กับคนที่คุณรักมากกว่าจะทุ่มชีวิตไปกับการงานหรือดำรงตำแหน่งสูง

8. ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโจนใส่ ทำให้คุณตกใจ สิ่งนั้นคือ
ก. หมี
ข. พ่อมด
ค. เหยื่อที่ใช้ตกปลา
เฉลยคำถามที่ 8 คุณกลัวอะไรมากที่สุด
ก. คุณกลัวที่จะไม่มีใครให้พึ่ง หรือกลัวเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ข. คุณกลัวในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนคุณก็เลยใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปบ้าง
ค. คุณเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่นเอามากๆ จึงพยายามสุดชีวิตที่จะได้รับการยอมรับจากผู้คนคุณต้องเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองบ้างแล้ว
9. ด้วยความตกใจคุณจึงวิ่งไปจนถึงกำแพงมีประตูคุณจึงมองลอดรูกุญแจก็เลยเห็น
ก. สวนเขียวขจีในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ข บ่อน้ำกลางทะเลทราย
ค. ชายหาดและเกลียวคลื่น
เฉลยคำถามที่ 9 ตัวตนของคุณคือ…
ก. คุณเป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่าน ซื่อสัตย์ กล้าแสดงความเห็นผู้คนจึงมาขอคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ แต่คุณอาจแย่ถ้าเจอปัญหาที่ต้องใช้หัวใจมิใช่สมอง
ข. คุณต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะชอบอยู่กับความคิดของตัวเองและมักจะแว่บหายยามเข้าตาจน แต่คุณจะรู้สึกดีขึ้นถ้าระบายกับคนที่คุณไว้ใจซะบ้าง
ค. คุณเป็นคนที่เต็มที่กับชีวิตและกล้าแสดงออก แต่เดาอารมณ์ยากและเปลี่ยนความคิดได้เรื่อยๆ บางครั้งคุณก็เหมือนมหาสมุทร…สงบได้…แต่ไม่นาน

ที่มา : http://www.yodtip.com/

เป็นไงบ้างคะแม่นนนนนอะป่าว